1. เงินดอลลาร์มูลค่าลดลง
การระบาดของไวรัส Covid-19 ทำให้ประเทศอเมริกาต้องพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่อเมริกาใช้ออกมาตรการ Quantitative Easing: QE ในปี 2008 เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติการเงิน ซึ่งเวลานั้นใช้เวลาถึง 2 ปีถึงจะพิมพ์เงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์ได้ครบ แต่ในช่วงการระบาดของ Covid-19 อเมริกาพิมพ์เงินในปริมาณที่เท่ากับมาตรการ QE ในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น และยังพิมพ์ออกมาต่อเนื่องถึงระดับล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งการที่เงินดอลลาร์ออกมาเยอะขนาดนี้ย่อมทำให้มูลค่าลดลง สถานการณ์นี้ทำให้นักลงทุนสถาบันต้องปกป้อง Wealth ของตัวเอง จึงมีการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ
“ในอดีตเงินดอลลาร์อาจเป็น Safe Haven แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว นักลงทุนสถาบันก็ต้องหาวิธีรับรายได้ที่มากกว่าการฝากไว้กับธนาคารหรือลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลเพื่อเอาชนะภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นเงินลงทุนจากสถาบันก็จะไหลไปทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น Tesla Amazon ลงทุนในทองคำ รวมถึงการเข้ามาถือ Bitcoin”
2. ปลดล็อกข้อจำกัด
การที่นักลงทุนสถาบันจะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ประเภทคริปโตเคอร์เรนซี่ได้ จะต้องถูกต้องตามกฎหมาย 100% ซึ่งปัจจุบันกฎหมายรองรับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่แล้วนอกจากนี้ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายของหน่วยงาน The Office of the Comptroller of the Currency (OCC) ในประเทศอเมริกา ที่อนุญาตให้ธนาคารในประเทศอเมริกาสามารถให้บริการรับฝากคริปโตเคอร์เรนซี่ได้ ทำให้ผู้เล่นที่มีความน่าเชื่อถือสูงอย่างธนาคารพาณิชย์เข้ามาใน Ecosystem นี้ด้วย
มูลค่า Bitcoin อยู่ที่ Network
แต่ยังไม่ใช่ผู้ชนะในเวลานี้
จิรายุสกล่าวว่า อีกปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดราคาของ Bitcoin นอกจากการ Halving ก็คือเครือข่าย (Network) เช่น การที่ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมรับการใช้ Bitcoin ในปี 2017 หรือการที่ Paypalประกาศยอมรับ Bitcoin ในปี 2020 ตลอดจนการเข้ามาของนักลงทุนสถาบัน ทำให้ Bitcoin ได้รับแรงหนุนให้เติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งอีกมุมหนึ่งหมายความว่า Bitcoin มีจำนวนจำกัด แต่มีผู้คนต้องการมากขึ้นราคาก็จะปรับขึ้น
หากดูสถิติย้อนหลัง 10 ปี จำนวนเฉลี่ยของการเปิด Bitcoin Wallet มีมากถึงวันละ 50 ล้าน Wallet ทั่วโลก ที่น่าสนใจคือใน 8 ปีแรก มีเพียงวันละ 28 ล้าน Wallet แต่ในปีที่ 9-10 กลับเพิ่มขึ้นถึง 22 ล้าน Wallet หรือเกือบ 50% หมายความว่าหากดูกราฟของการใช้งาน จะไม่ใช่การเติบโตที่เป็นเส้นตรง แต่โตแบบยกกำลัง หมายความว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จำนวน Wallet อาจไปถึง 1,000 ล้าน Wallet ภายใน 10 ปีข้างหน้า
“สาเหตุที่ Bitcoin เป็นตลาดที่ใหญ่มากนั่นเพราะตอนนี้ Bitcoin ได้เลยจุดที่รัฐบาลของประเทศใดในโลกจะเข้ามาแทรกแซงได้แล้ว โหนดต่างได้กระจายไปทั่วโลก ถือเป็นเครือข่าย Blockchainที่แพงที่สุด จาก Computing Power และการใช้ไฟฟ้า ทำให้ Bitcoin เป็นคริปโตเคอร์เรนซี่ที่มีความเชื่อมั่นสูงที่สุด เพราะเกินจุดที่ใครจะปิดเครือข่ายนี้ได้”
จิรายุสอธิบายว่า แม้ Bitcoin จะได้รับความเชื่อถือ และมีเครือข่ายทั่วโลก แต่ไม่ได้หมายความว่า Bitcoin จะแข็งแกร่งเช่นนี้ตลอดไป เพราะตัวแปรสำคัญคือ Network หากมีเหรียญอื่นที่สามารถสร้าง Network ได้ใหญ่เหมือน Bitcoin ก็สามารถขึ้นมาแทนที่ได้ เป็นสถานการณ์คล้ายกับในยุคโซเชียลมีเดียอย่าง Hi5 และ Facebook แต่หาก Network ไม่ได้ย้ายไม่ว่าอย่างไร Bitcoin ก็น่าจะใหญ่ที่สุดเนื่องจากมูลค่าของ Bitcoin อยู่ที่ Network ไม่ใช่ซอฟต์แวร์
“แม้ตอนนี้ Network จะอยู่ที่ Bitcoin แต่ไม่ได้หมายความว่าเหรียญอื่นๆจะใหญ่กว่า Bitcoin ไม่ได้ เพราะทุก Blockchain ล้วนเป็น Opensource ที่ทุกคนสามารถคัดลอกโค้ดไปทำซ้ำได้ เช่น หากมีคนที่สามารถสร้างเหรียญได้เหมือน Bitcoin แต่สามารถ Scale ออกไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องรอยืนยันธุรกรรม (Block Confirmations) 10 นาทีและเก็บค่าธรรมเนียม 1% ทุกคนต่างรู้ว่าเหรียญนี้เหมือน Bitcoin พร้อมเห็นประโยชน์จนย้าย Network ทั้งหมด ก็จะทำมูลค่าจาก Bitcoin ถูกย้ายไปยังเหรียญใหม่ ผู้พัฒนาก็ได้กำไรจากการลงทุนมากกว่าการพัฒนาบนเครือข่าย Blockchain เดิม”
ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากในโลกคริปโตเคอร์เรนซี่ยังไม่มี Blockchain Governance ที่ดี คนจึงเลือกที่จะยึดผลประโยชน์เป็นหลักและสร้างเครือข่าย Blockchain ใหม่ เพราะมีโอกาสได้กำไรมากกว่า นี่จึงเป็นสาเหตให้ปัจจุบันมีคริปโตเคอร์เรนซี่มากกว่า 8,000 เหรียญ และตอนนี้ยังเป็น Early Stage ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะชนะ แต่สภาพแวดล้อมในอนาคตจะเป็นผู้กำหนดผู้ชนะในระยะยาว ซึ่งตอนนี้ Bitcoin ยังไม่ถึงจุดนั้น
อีกสาเหตุที่มีเหรียญใหม่ๆเกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นเพราะแต่ละเหรียญต่างแก้ไขคนละปัญหาในโลกอินเทอร์เน็ต เช่นBitcoin แก้ไขปัญหาเรื่องการโอนมูลค่าข้ามประเทศ เปรียบเหมือน Protocol หรือภาษากลางในการโอนมูลค่า Ethereumก็เป็นอีก 1Protocol ในการรัน Smart Contract หรือ Decentralize Application
STO เปลี่ยนภาพตลาดทุน
แนะทำความเข้าใจก่อนเทรด
จิรายุสกล่าวว่า อีก 1 เทรนด์ที่ต้องจับตามองคือการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุน เพราะในอนาคตจะมีการทำสิ่งที่เรียกว่า STO : Securities Token Offering ซึ่งเป็นการแปลงมูลค่าของสินทรัพย์ทุกชนิดให้อยู่ในรูปของ Tokenสามารถซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนได้โดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งเทคโนโลยี Blockchainจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้
ภาพนี้จะเป็นอนาคตของตลาดทุนทั่วโลก การซื้อห้องคอนโดมิเนียม บ้าน ที่ดินสามารถเป็นเจ้าของร่วมกันได้ กรณีที่เกิดขึ้นแล้วคือการทำ Tokenize โรงแรม St. Regis ในอเมริกา หรือการทำ Tokenizeรถยนต์ Super Car ในประเทศสิงคโปร์ และในประเทศไทยBitkubจะมีการเปิดตลาดNon-fungible Token Market ที่แต่ละเหรียญจะมีความแตกต่างกัน ทำให้สามารถแทนค่าสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช้เงินและมีความแตกต่างกันได้ เช่น ภาพวาด เพลง หรือแม้แต่บริการจากInfluencer และ YouTuber ชื่อดัง
“ตัวอย่างเช่น บี้ เดอะสกา สามารถออกบริการร้องเพลงวันเกิดให้กับแฟนคลับ โดยแฟนคลับที่ถือ Token ของบี้ เดอะสกา สามารถใช้ Token แลกรับบริการนี้ได้ ซึ่งการได้ Token มาจะต้องดูวิดีโอตามจำนวนที่กำหนด หรือใช้เงินซื้อ Token ใน Bitkubเพื่อรับบริการที่ต้องการ”
จิรายุสกล่าวต่อว่า ด้านความเข้าใจของนักลงทุนที่มีต่อการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่ถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้นอย่างมากทุกครั้งที่ Bitcoin มีการ Halving ก็จะมีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งการเข้ามาลงทุนในตลาดนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้องมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงและหากดูไปที่แหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้ด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลก็ถือว่ามีมากกว่าเดิมมากดังนั้นการศึกษาเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนเข้ามาลงทุน
ปัจจุบัน Bitkubเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เติบโตเร็วในระดับ 1,000% มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดถึง 95% วอลุ่มการเทรดต่อวันที่ 4,500 ล้านบาท มี Ticket Size ตั้งแต่ 100 บาทไปจนถึง 50 ล้านบาท ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
ประเดิมปี 2021Bitcoin ทะลุล้าน
นักเทรดต้องระวังเพราะยังเสี่ยงสูง
ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ปี 2021 ถือเป็นปีที่ร้อนแรงในการลงทุนผ่านคริปโตเคอร์เรนซี่ จากการเข้ามามีบทบาทของนักลงทุนสถาบันที่เข้ามากว้านซื้อ Bitcoin ในตลาดจำนวนมาก ทำให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงไปถึง 42,000 ดอลลาร์ในช่วง 1-2 อาทิตย์แรกของปี 2021 ส่งผลให้นักลงทุนที่ถือ Bitcoin เอาไว้สามารถขายเพื่อทำกำไรได้มหาศาล
อย่างไรก็ตาม แม้ Bitcoin จะอยู่ในช่วงขาขึ้น เข้าสู่ Golden Period หลังการ Halving ครั้งที่ 2 ในมุมของ สตางค์ มองว่าคริปโตเคอเรนซี่ยังคงเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร้อนแรงของ Bitcoin สามารถดึงดูดนักลงทุนได้อย่างมาก เนื่องจากสามารถทำกำไรได้มากกว่าสินทรัพย์อื่นๆ แต่อีกมุมหนึ่ง Bitcoin ก็สามารถเข้าสู่ช่วงดาวน์ไซด์ได้อย่างรวดเร็ว และยังอาจลดลงได้ถึง 30% หรือมากกว่า
ปรมินทร์ เน้นว่า การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่จึงต้องมีความรอบคอบอย่างมาก เพราะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในทุกด้าน เช่น ลงทุนไป 1,000,000 บาท แต่ราคากลับดิ่งลงเหลือ 500,000 บาท ช่วงเวลาที่ราคาลงนี้นักลงทุนเดือดร้อนหรือไม่ หรือมีผลกระทบอะไรที่จะเกิดขึ้น หากรับความเสี่ยงเหล่านี้ไม่ได้ ก็ยังไม่ควรเข้ามาเต็มตัว แต่ให้ศึกษาอย่างใกล้ชิด เมื่อมีความพร้อมจึงเริ่มลงทุนโดยเริ่มจากจำนวนเงินที่ไม่เดือดร้อน เพราะตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่มีความผันผวนมากกว่าตลาดหุ้น
“ตลาดหุ้นไม่ได้หวือหวา ไม่ได้ผันผวนมาก และมีความเสี่ยงที่น้อยกว่า ส่วนในตลาดคริปโตฯนั้นปัจจุบันไม่ได้มีแค่Bitcoinแต่มีมากกว่า 8,000 เหรียญซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกเหรียญจะประสบความสำเร็จ นักลงทุนบางรายอาจมองว่าลงทุนใน Bitcoin ได้กำไรน้อยเพราะมีการเติบโตไปมากแล้ว จึงมองหาเหรียญที่อยู่อันดับล่างตั้งแต่อันดับ 2 ถึง 300 ขึ้นไป ที่มีแนวโน้มจะอัพไซด์มากกว่าBitcoin แต่ผู้ลงทุนก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงว่าเจ้าของเหรียญนั้นอาจไปไม่รอดหรือถูกทิ้งโปรเจ็กต์ไป ทำให้เงินลงทุนอาจจะกลายเป็นศูนย์นี่คือสิ่งที่ต้องเตือนนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
Bitcoin เข้าสู่ช่วงของขาดตลาด
สถาบันตบเท้าเข้าตลาดคริปโตฯ
ปรมินทร์ กล่าวว่า ความร้อนแรงของ Bitcoin ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ถึงต้นปี 2021 มาจากการเข้ามามีบทบาทของนักลงทุนสถาบัน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาใช้การพิมพ์เงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบเพื่อกู้เศรษฐกิจกลับมาในระยะสั้น และเริ่มมีประเทศอื่นๆเริ่มทำตามจนเริ่มมีเงินล้นตลาด บริษัทต่างๆจึงเริ่มพิจารณาว่าจะถือเงินทิ้งไว้หรือเอาไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ
หลายบริษัทที่ใช้วิธีแบ่งเงินประมาณ 1 ใน 3 มาลงทุน เพื่อให้ชนะค่าเงินเฟ้อ นั่นจึงทำให้ Bitcoinได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันอย่างมาก ด้วยจำนวนและเงินลงทุนมหาศาลของนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาในตลาดจึงทำให้Bitcoin มีราคาสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมาและอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่าของขาดตลาด
“ขณะนี้ เรียกได้ว่าจำนวน Bitcoin ที่อยู่ในกระดานเทรด มีขายไม่พอ มีแต่คนตั้งราคารับซื้อแต่ไม่มีคนขาย ราคาจึงพุ่งขึ้นไป แต่ในมุมของสถาบันนั้นช่วงแรกจะเป็นไปในลักษณะของการทดลองก่อน แต่พอได้กำไรก็เทเอาเงินส่วนมากเข้าไปถือ เช่น บริษัท MicroStrategy ถูกปรับเรทติ้งลงเพราะเอาเงินทุนส่วนใหญ่ไปลงBitcoinซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง แต่บริษัทไม่สนใจเพราะนักลงทุนได้ปันผล และผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นบวก”
นักลงทุนสถาบันอีกรายที่ต้องจับตามองคือ Greyscale ที่ทำกองทุน Bitcoin โดยเฉพาะ ได้ลงทุนใน Bitcoin อย่างต่อเนื่องจนสามารถสะสม Bitcoin ได้มากกว่า 500,000 Bitcoin คิดเป็นมูลค่า 8.35พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 2.69% ของตลาด
ปรมินทร์อธิบายต่อว่า เมื่อนักลงทุนสถาบันเข้ามาในตลาดมากขึ้น โอกาสที่ราคาจะลงไปถึงหลัก 1,000 ดอลลาร์ จึงเป็นไปได้ยาก แน่นอนว่าราคาจะมีปรับลงบ้าง แต่จะเป็นลักษณะของการปรับฐาน เนื่องจากนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่จะซื้อจำนวนมากเพื่อไปถือเอาไว้ ขณะที่ธรรมชาติของ Bitcoin ที่ถูกผลิตใหม่ก็น้อยลงเรื่อยๆ คิดเฉลี่ยได้ประมาณปีละ 500,000 Bitcoinแต่นักลงทุนสถาบันซื้อมากกว่า 500,000 Bitcoin แม้ว่าจะรวมกับBitcoin ที่มีในตลาดก็ยังไม่พอ ส่งให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงเพราะDemand มีมากกว่า Supply
“สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือนักลงทุนสถาบันจะเทขายหรือพยุงราคาให้อยู่ในระดับนี้ต่อไป หากเป็นการเทขายราคาจะดิ่งลงแน่นอน แต่ด้วยกลยุทธ์ก็สามารถซื้อกลับและทำให้ราคาขึ้นไปเยอะๆ ตรงนี้ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน”
ปรมินทร์กล่าวว่า การเข้ามาในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ของนักลงทุนสถาบัน จะยังคงมีต่อเนื่องไปตลอดปี 2021 เพราะนโยบายใหม่ของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะมีการเพิ่มการเก็บภาษีจาก 21% เป็น28% สิ่งที่เกิดขึ้นคือบริษัทต้องบริหารเงินไม่ให้มีกำไรเยอะมาก และการที่นำเงินส่วนที่คาดว่าจะเป็นกำไรมาถือคริปโตเคอร์เรนซี่ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ดังนั้นเทรนด์ของนักลงทุนสถาบันที่เข้ามาในตลาดจะยังคงมีต่อไป
ในมุมของ Bitcoin หลังจากผ่านการ Halving ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือกลุ่มที่ขุด Bitcoin (Bitcoin Miner) เนื่องจากจำนวน Reward ที่ระบบจ่ายให้จากการประมวลผลมีจำนวนน้อยลง ซึ่งกลุ่ม Miner ก็ต้องคำนวณราคาของ Bitcoin เทียบกับต้นทุนว่าจะยังได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ ขณะที่ราคาในตลาดก็กระทบเช่นกันแต่จะไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักเพราะแม้ว่าระบบจะผลิตBitcoinได้น้อยลงครึ่งนึง แต่Bitcoin เดิมที่อยู่ในตลาดก็ไม่ได้หายไป ดังนั้นการ Halving จะเป็นสัญญาณด้านเทคนิคที่ทุกคนมองว่าราคาจะขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นเป็น 2 เท่าเสมอไป
ทุกครั้งหลังจากที่เกิด BitcoinHalving ราคาจะขึ้นสู่จุด All Time High แต่ไม่ได้การันตีว่าราคาจะพุ่งเลยเพราะว่ายังคงมี Bitcoin เดิมที่อยู่ในตลาด สตางค์มองว่าการ Halving จะมีผลเยอะในรอบแรกๆที่ยังไม่มีนักลงทุนสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นการเก็งราคาจากนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก
“เทรนด์ของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ในปี 2021 จึงเป็นเรื่องของการเข้ามาในตลาดของนักลงทุนสถาบัน และจะยังคงมีเข้ามาต่อเนื่อง เพราะรายใหญ่หลายรายเข้ามาแล้ว และได้ผลตอบแทนที่เป็นบวกกลับไป ในมุมของของสถาบันก็เริ่มมองว่าคริปโตเคอร์เรนซี่คือการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ต้องศึกษา ทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่มีการพัฒนาตัวเอง จากเดิมที่มีแต่นักลงทุนรายย่อย เมื่อมีนักลงทุนสถาบันเข้ามาก็ทำให้เกิดพัฒนาการ”
The Future Wealth
เน้นถือยาวรอจังหวะทำกำไร
ปรมินทร์ กล่าวว่า พัฒนาการของตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ ทำให้ Bitcoin ถูกพิจารณาในฐานะของทางเลือกใหม่ในการลงทุน หรือแม้กระทั่งการเป็น Future Wealth ซึ่ง สตางค์มองว่าคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเฉพาะ Bitcoin อยู่ในเกณฑ์ โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่นักลงทุนต้องการทำกำไร หากถือในระยะสั้น 3-4 ปี อาจไม่สามารถให้เป้าหมายได้ว่าจะสามารถเป็น Future Wealth หรือตอบโจทย์นักลงทุนหรือไม่ เนื่องจากวัฏจักรของ Bitcoin ราคาจะขึ้นและลง จากนั้นจะอยู่นิ่งๆไปอีก 4 ปี ดังนั้นหากมองในช่วงสั้นจึงแล้วแต่จังหวะและความเป้าหมายของผู้ลงทุน แต่ในระยะยาวสถิติบ่งชี้ชัดเจนว่ามูลค่าของ Bitcoin เพิ่มขึ้นทุกปี
“เราไม่แนะนำให้ใช้ Bitcoin เป็นช่องทางในการออมเงิน แต่เราแนะนำว่าให้นำเงินที่ใช้เสี่ยงโชคต่างๆทุกเดือนมาซื้อ Bitcoin เป็นการนำเงินที่พร้อมเสียมาใช้ เช่น เงินที่ใช้ซื้อลอตเตอรี่ซึ่งผู้ซื้อทำใจไว้แล้วว่าถ้าไม่ถูกรางวัลคือเสียเงินฟรี การนำเงินส่วนนี้มาซื้อ Bitcoinและถือยาวสัก10 ปีจะเป็นFuture Wealth แน่นอน”
ปรมินทร์ กล่าวต่อว่า เวลานี้นักลงทุนรายใหญ่เริ่มเข้ามาในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่มากขึ้นนักลงทุนรายย่อยไม่ใช่ผู้คุมตลาดเหมือนในอดีต เพราะนักลงทุนสถาบันมีมืออาชีพ ทีมงาน ที่มุ่งเน้นเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในอนาคตนักลงทุนรายย่อยอาจต้องลงทุนผ่านสถาบัน เช่น การลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี่ ซึ่งนักลงทุนหน้าใหม่ก็จะสนใจเนื่องจากไม่ต้องมาบริหารพอร์ตลงทุนเอง ส่วนที่ยังเทรดเองก็จะเป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าใจการลงทุนประเภทนี้จริงๆ
“ในปี 2017 ในต่างประเทศมีการตั้งกองทุนคริปโตเคอร์เรนซี่เยอะมาก เพราะตลาดโต แค่ถือเฉยๆไม่ต้องทำอะไรก็ยังกำไร แต่หลังจากช่วงปี 2018 ตลาดดิ่งลงหลายกองทุนก็ปิดไป ส่วนที่บริหารเป็นก็รอด แต่รายที่เข้ามาเพื่อหวังเกาะขาขึ้นของตลาดส่วนใหญ่จะไปไม่ไหว ขณะที่ในประเทศไทยเริ่มมีกฎหมายรองรับแล้ว คาดว่าจะมีหลายกองทุนเปิดตามมา”
สำหรับตลาดในประเทศไทยนั้น ปรมินทร์มองว่า ในด้านของจำนวนนักลงทุนที่ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่ยังไม่ได้ขยายตัวมากนัก อาจมีทั้งรายเก่าที่เลิกไปและมีรายใหม่ที่เข้ามาเติม ปัจจุบันในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลSATANG Pro มีธุรกรรมวันละ 30-50 ล้านบาท นอกจากนี้สตางค์ยังมีส่วนในการให้ความรู้ หรือการจัดWorkshop ให้กับนักลงทุนที่สนใจ ทั้งการให้ความรู้ในการใช้แพลตฟอร์ม และความรู้ในคริปโตเคอร์เรนซี่แต่ละสกุลด้วย ว่าแต่ละเหรียญมีข้อดีอย่างไรทำงานอย่างไร และแตกต่างกันอย่างไร
ปรมินทร์ แนะนำว่า หากเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่รู้เทคนิคมากนัก ให้ศึกษาหาข้อมูลให้มากที่สุด ตัวเลือกแรกที่แนะนำคือ Bitcoin เพราะมีความเสี่ยงน้อยที่สุด เนื่องจากมูลค่าค่อนข้างเยอะ การจะล้มเป็นไปได้ยาก และแนะนำให้ถือแบบระยะยาวเหมือนการลงทุนในหุ้น หากต้องการลงทุนในสกุลอื่นจะต้องศึกษาแบบราย Sector อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเพราะแต่ละสกุลมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น เหรียญ Ethereum จุดประสงค์ของการลงทุนจะต่างจาก Bitcoin เพราะ Ethereum เป็นเหรียญประเภทโครงสร้างพื้นฐานโดย Ethereum สร้างเน็ตเวิร์กขึ้นมาแล้วให้คนอื่นมาสร้างเหรียญบนแพลตฟอร์มตัวเองอีกที ถ้ามองเป็นหุ้นก็เป็นลักษณะของการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง เพื่อให้มีกลุ่มบริษัทที่ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานนี้มาพัฒนาต่อยอดธุรกิจไป ซึ่งเหรียญที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับEthereumและเป็นคู่แข่งกันก็มีหลายตัว
หากต้องการไปลงทุนในเหรียญอื่นๆ นักลงทุนก็ต้องเริ่มศึกษาลึกลงไปอีกในแต่ละ Sector ส่วนระยะเวลาในการถือ อยู่ที่ว่าผู้ลงทุนกำหนดระยะเวลาในการได้ผลตอบแทนไว้ที่เท่าไหร่ เช่น นักลงทุนบางรายซื้อ Bitcoin ทิ้งไว้ตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว ปัจจุบันราคาไปถึง 1 ล้านบาทก็ไม่ขาย เพราะระยะเวลาที่ตั้งไว้ยังไม่ถึงเวลา เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ค่อยมาดูว่าราคาเป็นเท่าไหร่และจะตัดสินใจอย่างไร
SATANG Pro ชูจุดแข็งที่ระบบ
ผนึก Binanceโอนฟรีไม่มีค่าธรรมเนียม
ปรมินทร์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนในการรองรับนักลงทุนที่สนใจซื้อ-ขายคริปโตเคอร์เรนซี่ เน้นที่ความเสถียรของระบบเว็บเทรด โดยมองว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่มีความเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นความเสถียรเป็นเรื่องสำคัญมาก การปิดปรับปรุงจะมีการแจ้งลูกค้าล่วงหน้าทุกครั้ง เพื่อจะได้เตรียมตัวได้ทัน และไม่ให้ลูกค้าเสียโอกาสในการทำกำไรจากการเทรด
โดยระบบของ Satang Pro นั้นจะเป็นแบบ Auto scale ที่ขยายตามจำนวนผู้ใช้งาน โดยมีการพัฒนาระบบหลังบ้านให้เป็นแบบอัตโนมัติ และใช้คนในการบริหารจัดการให้น้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่สตางค์มุ่งเน้นอย่างมาก และถือเป็นจุดแข็งเฉพาะตัว
“จุดแข็งของเราคือเรื่องความเสถียร สตางค์เน้นเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะเรารู้ถึงช่วงเวลาที่คนเข้ามาเทรดว่าอยู่ช่วงเวลาไหน เราเพิ่มในส่วนนั้นไว้รอแล้ว พอคนเริ่มเยอะเราก็ไม่ต้องทำอะไร เซิร์ฟเวอร์จะขยายเองอัตโนมัติ เพื่อให้คนที่ต้องการลงทุนได้ลงจริงๆและไม่เป็นการตัดโอกาสผู้ลงทุน”
นอกจากนี้ ยังเน้นในเรื่องความปลอดภัยข้อมูลโดยปรับใช้ตามมาตรฐาน GDPR ลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศสามารถเทรดกับSATANG Pro ได้ นอกจากนี้สตางค์เป็นรายเดียวในประเทศไทยที่ผ่านมาตรฐาน ISO 27000-701 ที่มุ่งเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
ปรมินทร์กล่าวต่อว่าบริษัทยังจับมือกับ Binanceกระดานเทรดคริปโตเคอร์เรนซี่อันดับต้นของโลกทำให้การโอนคริปโตเคอร์เรนซี่ระหว่างBinance กับ SATANG Proได้ทันทีโดยไม่ต้องรอยืนยัน เป็นการลดช่องว่างในเรื่องต้นทุนระยะเวลา นอกจากนี้การโอนจากBinance มายัง SATANG Proยังไม่มีค่าธรรมเนียมด้วย
หน้าที่เข้าชม | 17,183 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 14,632 ครั้ง |
เปิดร้าน | 6 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 6 ก.ย. 2568 |